วิชา ระบบสื่อสารแอนะลอก
หน่วยที่ 6 ชื่อหน่วย เฟสล็อกลูป จำนวน 6
คาบ
ใบงานที่
1 ชื่องาน การทำงานของ PLL จำนวน 1
คาบ
จุดประสงค์ทั่วไป
ศึกษาการทำงานของเฟสล็อกลูป (Phase Lock
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
1.
อธิบายการทำงานของ PLL ได้
2.
คำนวณหา ความถี่สูงสุด และต่ำสุดของ Vco ได้
3.
คำนวณหา ความถี่ Look range และ Capture range ได้
เนื้อหา
1.1 หลักการทำงาน
เฟสล็อคลูป (Phase Locked
-
วงจรเปรียบเทียบเฟส
-
วงจรกรองสัญญาณความถี่ต่ำผ่าน
-
ภาคกำเนิดสัญญาณควบคุมแรงดัน (VCO)
วงจรเปรียบเทียบเฟสจะทำหน้าที่เปรียบเทียบเฟสระหว่างสัญญาณอินพุตที่เป็นแบบรายคาบกับสัญญาณที่ได้จากภาค VCO และให้เอาต์พุตของการเปรียบเทียบที่ได้แรงดัน
Vd แรงดันที่ได้นี้จะถูกกรองด้วยวงจรกรองสัญญาณความถี่ต่ำผ่านได้เป็นแรงดัน
Ve (เรียกว่า
"loop filter") แล้วป้อนให้กับภาค VCO ต่อไปแรงดัน Ve ที่ป้อนให้กับ VCO นั้นใช้สำหรับควบคุมความถี่เพื่อให้เฟสของสัญญาณอินพุตกับสัญญาณจากภาค
VCO นี้มีเฟสที่ตามกันหรือสามารถล็อคเฟสได้นั่นเอง
รูปที่ 1.1 ไดอะแกรมของ PLL
โดยปกติภาค VCO ของ PLL สามารถให้กำเนิดความถี่
fo ได้ถึงแม้ว่าเราจะไม่ทำการป้อนสัญญาณอินพุตเข้าไป
พารามิเตอร์ที่สำคัญที่สุดของ PLL คือ
-
-
รูปที่ 1.2 แสดงช่วงความถี่ Lock
Range และ
Capture Range ของ PLL ในรูปของแรงดันเทียบกับความถี่
ซึ่งความถี่ของสัญาณอินพุตนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงกว้าง
ส่วนแกนตั้งนั้นแทนแรงดันควบคุม Ve ของภาค VCO พิจารณาที่ส่วนบนของวงจรในรูป
จะพบว่าถ้าเพิ่มค่า fi จะทำให้ PLL ไม่สามารถล็อคกับสัญญาณอินพุตได้ ถ้า fi ยังมีค่าไม่เท่ากับ
f2 ซึ่งเป็นค่าความถี่ต่ำสุดของ
Capture Range เมื่อ PLL สามารถล็อกความถี่ได้แล้วจะทำให้เกิดแรงดันลบขึ้นที่แรงดันควบคุม
Ve แรงดัน Ve
นี้จะมีค่าเปลี่ยนไปตามความถี่ที่เปลี่ยนไป
และจะมีค่าเป็นศูนย์เมื่อความถี่ fi = fo (ความถี่ free running) PLL
จะยังคงสามารถล็อกความถี่ต่อไปได้เรื่อยจนกระทั่ง
fi มีค่าเท่ากับ f4 ซึ่งเป็นค่าความถี่สูงสุดของ
Lock Range จะทำให้ PLL ไม่สามารถล็อกความถี่ของสัญญาณอินพุตได้ และแรงดัน Ve จะมีค่าเป็น 0
ดังนั้น
Dfc = f3
- f2
ส่วน
DfL = f4
- f1
+
FREQUENCY fi f2
f4 f0
LOCK
-
DfL
+
FREQUENCY fi f0 f3 f1 ve
-
รูปที่ 1.2 คุณสมบัติของ PLL ระหว่างความถี่เทียบกับแรงดัน
-197-
1.2
ออสซิลเลเตอร์ที่ควบุคมด้วยแรงดัน (VCO)
ภาค VCO
คือ ภาคกำเนิดสัญญาณที่มีความถี่ของสัญญาณแปรผันตามขนาดของแรงดันควบคุมด้านอินพุตตามรูปที่
1.3
คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของ
VCO คือ
-
Frequency range คือ
ช่วงความถี่ของสัญญาณที่ภาค VCO นี้สามารถสร้างขึ้นมาได้
-
Linearity คือ
ความเป็นเชิงเส้นเมื่อเทียบกันระหว่างความถี่ของสัญญาณเอาต์พุตต่อแรงดันควบคุม
ในรูปที่ 1.3 b นั้นจะแสดงคุณลักษณะของ VCO (ซีงจะมีความเป็นเชิงเส้นในช่วงความถี่ w1 ถึง w2 )
-
conversion gain คือ
อัตราส่วนระหว่างความถี่ของสัญญาณเอาต์พุตต่อแรงดันควบคุมอินพุต
มีค่าดังนี้
Ko = wo/Ve หน่วยเป็น rad/sec.volt
ภาค VCO นั้นสามารถสร้างจากวงจรอิเล็กทรอนิกส์ได้ เช่น
วงจรที่สร้างจากอุปกรณ์แบบดีสครีต,
วงจรรวมหรือไอซี, วงจรที่สร้างจาก LC,
RC, มัลติไวรเบรเตอร์ และอื่น ๆ ส่วน VCO ในชุดทดลองนี้จะใช้ไอซีเบอร์
uA565 มาสร้าง
-198-
รูปที่ 1.3
a)
ไดอะแกรมการทำงานของ
VCO
b)
คุณสมบัติการทำงานของ
VCO
1.3
วงจรเปรียบเทียบเฟส (Phase Comparator)
วงจรเปรียบเทียบเฟสจะทำหน้าที่เปรียบเทียบเฟสของสัญญาณอินพุต
2 สัญญาณแล้วให้เอาต์พุตเป็นแรงดันเฉลี่ยที่มีค่าแปรผันโดยตรงต่อค่าความแตกต่างระหว่างเฟสของสัญญาณอินพุตทั้งสอง
(ดูรูปที่ 1.4) วงจร
-199-
เปรียบเทียบเฟสสามารถสร้างได้จากวงจรดิจิตอลหรืออนาล็อกก็ได้ โดยถ้าใช้วงจรดิจิตอลนั้นก็มักจะใช้เกทแบบ
exclusive-or หรือ edge-triggered แต่ถ้าเป็นวงจรอนาล็อกก็จะใช้วงจรคูณแทน
สำหรับวิธีอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้สามารถหาอ่านได้จากหนังสือหรือคู่มืออื่น ๆ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราควรคำนึงถึงมากที่สุดคือประสิทธิภาพในการทำงานมากกว่าเทคนิคในการสร้าง
คุณสมบัติหลักคือ conversion gain
of the phase comparator ที่กำหนดให้มีค่าดังนี้
KD
= Vd/wDo หน่วยเป็น V/rad
เมื่อ
Vd คือ แรงดันเฉลี่ยเอาต์พุตของวงจรเปรียบเทียบ
มีหน่วยเป็นโวลต์
KD
คือ conversion gain มีหน่วยเป็น V/rad
Do คือ ค่าความต่างเฟสระหว่างสัญญาณอินพุตทั้งสอง
มีหน่วยเป็น rad
ในการคำนวณหาฟังก์ชั่นการถ่ายโอน (Transfer Function) นั้นจะได้กล่างถึงในภายหลัง
ซึ่งในวงจรเปรียบเทียบเฟสนี้จะแทนด้วย conversion gain KD
fo fi
ve
รูปที่ 1.4 ไดอะแกรมของวงจรเปรียบเทียบเฟส
แรงดัน Ve จะมีค่าแปรผันโดยตรงต่อค่าความต่างเฟสระหว่าง
fi และ fo
ระบบ PLL จะใช้ตัวกรองสัญญาณความถี่ต่ำผ่านต่อคาสเคดกับวงจรเปรียบเทียบเฟส
เพื่อทำหน้าที่สองประการดังนี้
-
กำจัดองค์ประกอบของสัญญาณเอาต์พุตจากวงจรเปรียบเทียบสัญญาณที่มีค่าความถี่สูงออกไป
และให้เอาต์พุตออกมาเป็นสัญญาณที่มีความต่อเนื่อง
-
เป็นส่วนการทำงานหลักที่ใช้ในการหาฟังก์ชั่นการถ่ายโอน
Capture
range และ Lock range ของ PLL
-200-
ตัวกรองสัญญาณความถี่ต่ำผ่านนั้นจะปรกอบขึ้นมาจากวงจรRC หรืออาจจะสร้างจากอุปกรณ์ประเภทแอกตีฟ (ตัวกรองสัญญาณแบบแอกตีฟ)
1.5 ฟังก์ชั่นการถ่ายโอนของ PLL
รูปที่ 1.5 แสดงไดอะแกรมของ
PLL
8i Ve = F(s)vd Vd = KD(qi-qo)
FILTER
รูปที่ 1.5 ไดอะแกรมของ PLL
สัญญาณอินพุตที่มีเฟส 0i และเอาต์พุตของ
VCO จะมีเฟส 0o
เอาต์พุตของวงจรเปรียบเทียบเฟสนั้นจะมีค่าแปรผันโดยตรงต่อค่าความต่างเฟสระหว่างอินพุตทั้งสองคูณด้วยอัตราขยาย
KD
ดังนี้
Vd = KD (0i
- 0o) = KDD0
แรงดัน Vd
ที่ได้จะถูกป้อนผ่านตัวกรองสัญญาณความถี่ต่ำผ่านเพื่อกำจัดองค์ประกอบของสัญญาณที่มีความถี่สูงและสัญญาณรบกวนออกไป
ฟังก์ชั่นการถ่ายโอนของตัวกรองสัญญาณคือ F(s)
ภาค VCO
จะถูกควบคุมการผลิตสัญญาณด้วยแรงดันที่ได้มาจากตัวกรองสัญญาณ Ve ความถี่ของ
-201-
สัญญาณจาก VCO จะถูกกำหนดจากแรงดัน
Ve และ อัตราการขยาย Ko ดังนี้
wo = Ko . Ve
ความถี่ของสัญญาณ VCO ก็คืออัตราการเปลี่ยนเฟสของสัญญาณนั่นเอง
ดังนั้นเราจะได้
d0o = Ko.Ve
dt
จาก
d0o
dt
L
= s0o(s)
= Ko.Ve
เพราะฉะนั้น
S
0o(s)
= KoVe(s)
อินทรีเกรตของแรงดันควบคุม Ve
โดยการหา
Vd(s) = KD[0i(s)
- 0o(s)]
Ve(s) = F(s) . Vd(s)
S
0o(s)
= KoVe(s)
เมื่อรวมความสัมพันธ์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน
จะทำให้เราได้ฟังก์ชั่นการถ่ายโอนของระบบ PLL ดังนี้
H(s)
=
=
จะเห็นได้ว่า ฟังก์ชั่นนี้มีคุณสมบัติที่ขึ้นอยู่กับฟังก์ชั่นการถ่ายโอนของตัวกรองสัญญาร
F(s)
รูปที่ 1.6 แสดงวงจรกรองสัญญาณที่ใช้ RC และมีฟังก์ชั่นการถ่ายโอนดังนี้
F(s) =
=
-202-
เมื่อ t = RC ในกรณีนี้เราจะได้ฟังก์ชั่นการถ่ายโอนของ
PLL ดังนี้
H(s) = 2
S2 + 2zwKns + wns
w2n
เมื่อ wn =
และ z =
ซึ่ง z คือ damping
factor และ w คือ natural frequency
ค่า Capture range และ Lock range เป็นพารามิเตอร์ที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษในระบบ PLL ซึ่งเราสามารถหาค่าทั้งสองนี้ได้จากฟังก์ชั่นการถ่ายโอนดังนี้
Lock
range fd »
Hz
สำหรับ Capture range นั้นจะมีคุณสมบัติขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของตัวกรองสัญญาณด้วย สำหรับในกรณีนี้เราจะได้
Capture
range fc »
Hz
R
R
รูปที่ 1.6
อะไรจะเกิดขึ้นกับความถี่ของสัญญาณเอาต์พุต
fo ของ
PLL เมื่อความถี่ของสัญญาณอินพุต fi มีการเปลี่ยนแปลงทันทีทันใด
(ดูรูปที่ 1.7)
-203-
จาก H(s) ที่ได้จะเห็นว่าระบบ PLL นั้นเป็นระบบที่มีออร์เดอร์เป็น 2 นั่นหมายความว่าเอาต์พุตจะมีการเปลี่ยนแปลงตามอินพุต
แต่แกว่งไปมารอบจุดที่ต้องการระยะเวลานี้คือมีการหน่วงเวลาออกไป
ความเร็วของกระบวนการนี้จะขึ้นอยู่กับค่า damping
factor z ของระบบ
และค่านี้ก็จะขึ้นอยู่กับคุณลักษณะของตัวกรองสัญญาณนั่นเอง
รูปที่ 1.7 การตอบสนองทรานเชียนต์ของระบบ PLL
รูปที่ 1.8 แสดงดารตอบสนองต่อทรานเชียนต์ของระบบ PLL เมื่อ damping factor มีค่าต่าง
ๆ กัน ซึ่งจะเห็นว่าถ้า z
ยิ่งมีค่าลดลงเท่าใด
ก็จะยิ่งทำให้เกิดการแกว่งมากขึ้นเท่านั้น
-204-
รูปที่ 1.8 การตอบสนองทรานเชียนต์
-205-
เครื่องมือและอุปกรณ์
1.
แหล่งจ่ายไฟ ±
12 Vdc 1 ชุด
2.
ชุดกำเนิดสัญญาณ AM/FM ความถี่ต่ำ 1 ชุด
3.
ออสซิลโลสโคป 1 เครื่อง
4.
มิเตอร์วัดความถี่ 1 เครื่อง
5.
แผงทดลอง L05 1 ชุด
6.
สายต่อวงจร 30
เส้น
ลำดับการทดลอง
คุณลักษณะของ VCO
1.
คำนวณหาความถี่กลางของ VCO จากสมการต่อไปนี้
¦.
=
ในแผงทดลองนี้
ใช้ C2 =
2.2 nF และ RV1 จะประกอบด้วยตัวต้านทาน 1KW ต่ออนุกรมกับ
ทริมเมอร์ 4.7 KW
จากค่าดังกล่าว
สามารถหาค่าความถี่สูงสุด ¦max และความถี่ต่ำ ¦min ของ VCO ได้ดังนี้
@ 130 KHz
¦max -9
3
@ 23 KHz
¦max -9
3
2.
ต่อจุด 4 เข้ากับ 5
3.
ใช้มิเตอร์วัดความถี่ที่จุด 3 โดยหมุน RV1 เพื่อตรวจดูว่าความถี่ที่วัดได้มีค่าอยู่ระหว่าง 20KHz ถึง 130KHz
4.
วัดและบันทึกรูปคลื่นสัญญาณที่จุด 3 ด้วยออสซิลโลสโคป
5.
ถอดสายออกจากจุด 4 และ
5 และป้อนแรงดันไฟดี.ซี. ระหว่าง 7-10 V เข้าที่จุด 4 สังเกตความถี่ของสัญญาณมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
.
การคำนวณหาอัตราส่วนขยาย
K.
ของ VCO
6.
ต่อจุด 4 และ 5 เข้าด้วยกัน
และป้อนไฟเลี้ยงวงจร
7.
ต่อมิเตอร์วัดความถี่ที่จุด 3 และ
ปรับ RV1 ให้ความถี่ที่วัดได้มีค่าต่ำสุด
8.
ป้อนแรงดันไฟตรงขนาด 0-10 V. เข้าที่จุด 7 โดยปรับแรงดันทีละ 1 V.
-
วงจรเปรียบเทียบเฟส
เอาต์พุตของวงจรเปรียบเทียบเฟสของไอซี
uA565 ไม่สามารถวัดออกมาได้โดยตรง
แต่เราสามารถวัดเอาต์พุตของตัวกรองสัญญาณได้ที่จุด 7 แต่เราก็สามารถตรวจสอบการทำงานของวงจรเปรียบเทียบเฟสได้โดยมีขั้นตอนดังนี้
1)
สร้างวงจรตามรูปที่ 3.2 เมื่อ P คือโพเทนชิโอมิเตอร์ที่มีค่าระหว่าง 2 kW ถึง 5 kW และ
C คือตัวเก็บประจุที่มีค่า 10nF
-208-
รูปที่ 3.2
2)
ใช้ออสซิลโลสโคปแบบ dual trace วัดที่จุด 1 และ 2 และใช้โวลต์มิเตอร์วัดที่จุด
7
3)
ป้อนสัญญาณรูปคลื่นซายน์ที่มีความถี่ประมาณ
50 kHz
และมีขนาดประมาณ 500 mVpp ที่อินพุตจุด 1
4)
ตรวจดูความต่างเฟสระหว่างสัญญาณที่วัดได้ที่จุด
1 และ 2 ในขณะเดียวกันค่อย ๆ ปรับโพเทนชิโอมิเตอร์
5)
ตรวจดูว่าแรงดันที่วัดได้ที่จุด 7 มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่เมื่อค่าความแตกต่างระหว่างเฟสของสัญญาณรูปคลื่นซายน์ทั้งสองที่วัดได้ที่จุด
1 และ 2 เปลี่ยนไป
-
Lock
range Capture range ของ PLL
Lock range fL และ Capture range fC มีค่าดังนี้
fL
»
fC »
3
-209-
เมื่อ
fo คือ ความถี่กลางของ VCO
Vc คือ แรงดันที่จ่ายให้วงจร (ในกรณีนี้คือ 24 V)
3.6
x 103
คือ
ความต้านทานขนาด 3.6 kW ซึ่งเป็นค่าความต้านทานภายในของไอซีในส่วน
ของตัวกรองสัญญาณ
C4 คือ ตัวเก็บประจุมีค่า 22nF
การวัดและตรวจสอบค่า Lock range นั้นทำได้ตามขั้นตอนดังนี้
1)
เชื่อมต่อจัมเปอร์
2-3 และ 4-5
2)
ป้อนไฟเลี้ยงให้วงจร
3)
ต่อมิเตอร์วัดความถี่ที่จุด 3 และปรับ
RV1 จนวัดความถี่ได้ 40 kHz
4)
วัดค่า fL และ fC
5)
ต่อออสซิลโลสโคปวัดสัญญาณที่จุด 3
6)
ป้อนสัญญาณรูปคลื่นซายน์ความถี่ประมาณ
40 kHz และมีขนาด 500 mVpp ที่จุด 1
7)
ปรับความถี่ของสัญญาณอินพุตและตรวจสอบความถี่ของสัญญาณที่ได้จาก VCO ที่จุด 3 ว่าสามารถล็อกกับความถี่ของสัญญาณอินพุตได้หรือไม่
ซึ่งควรจะมีค่าความถี่ระหว่าง
27 kHz ถึง
53 kHz
8)
สามารถล็อกความถี่นี้ได้
และ
VCO จะสร้างสัญญาณที่มีความถี่กลางออกมาจากนั้นปรับความถี่ของสัญญาณอินพุตให้มีค่าระหว่าง
34 kHz และ 46 kHz เพื่อให้ PLL
สามารถล็อกได้อีกครั้ง
ซึ่งช่วงความถี่นี้เป็น Capture
range และมีค่าน้อยกว่า Lock range
9)
ปรับค่า RV1 ให้ได้ความถี่ fo ประมาณ 60 kHz
10)
ต่อตัวเก็บประจุขนาด 50 nF ขนานกับ C4 (ระหว่างจุด
5 และ 7) และตรวจดูว่า Capture
range มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
11)
ต่อโวลต์มิเตอร์หรือออสซิลโลสโคปวัดที่จุด 7 (เอาต์พุตของตัวกรองสัญญาณ)
ตรวจดูว่าระดับแรงดันมีค่าลดลงเมื่อความถี่ของสัญญาณอินพุตมีค่าเพิ่มขึ้น
ซึ่งระดับแรงดันนี้จะไปควบคุมการสร้างสัญญาณของภาค VCO